หน้าจอมือถือในปัจจุบันมีอะไรบ้าง อัปเดตปี 2025
หน้าจอมือถือในปี 2025 เปลี่ยนไปแค่ไหน?
ปี 2025 เป็นช่วงที่สมาร์ทโฟนมีพัฒนาการด้านหน้าจออย่างก้าวกระโดด ทั้งในเรื่องของเทคโนโลยีภาพ ประสิทธิภาพ และความยืดหยุ่นในการใช้งาน โดยเฉพาะแบรนด์ชั้นนำที่แข่งขันกันพัฒนาเทคโนโลยีหน้าจอให้ล้ำหน้าอยู่เสมอ
หน้าจอ OLED และ LTPO OLED คือมาตรฐานใหม่
หน้าจอ OLED (Organic Light-Emitting Diode) ยังคงเป็นเทคโนโลยีหลักที่ใช้ในสมาร์ทโฟนระดับกลางถึงระดับเรือธง ด้วยคุณสมบัติที่ให้สีดำสนิท คอนทราสต์สูง และประหยัดพลังงานเมื่อเทียบกับ LCD
แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือ LTPO OLED (Low-Temperature Polycrystalline Oxide) ซึ่งสามารถปรับอัตรารีเฟรชเรตแบบไดนามิกได้ตั้งแต่ 1Hz ไปจนถึง 120Hz หรือมากกว่า ช่วยให้ประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น เช่น ในขณะที่คุณอ่านบทความ หน้าจอจะลดรีเฟรชเรตลงโดยอัตโนมัติ ทำให้แบตเตอรี่อยู่นานขึ้นโดยไม่ลดคุณภาพการใช้งาน เช่น
-
iPhone 16 Pro / Pro Max ใช้จอ LTPO OLED ขนาด 6.1 และ 6.7 นิ้ว รองรับ ProMotion 1120Hz
-
Samsung Galaxy S25 Ultra มาพร้อม LTPO AMOLED QHD+ รีเฟรชเรตสูงและความสว่างระดับ 3000 nits
-
OnePlus 13 Pro ใช้จอ LTPO 3.0 AMOLED ปรับการแสดงผลตามคอนเทนต์แบบอัตโนมัติ
เทคโนโลยี MicroLED เริ่มเข้าสู่ตลาดเรือธงพรีเมียมระดับสูง
แม้ยังมีราคาสูง แต่ในปี 2025 เราเริ่มเห็นการนำ MicroLED มาใช้ในมือถือรุ่นไฮเอนด์มากขึ้น จุดเด่นของเทคโนโลยีนี้คือความสว่างสูงกว่าหน้าจอ OLED ไม่มีปัญหา burn-in และให้สีสันที่แม่นยำ พร้อมอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า เหมาะกับการใช้งานกลางแจ้งหรือเล่นคอนเทนต์ HDR แม้ยังไม่แพร่หลายในรุ่นทั่วไป แต่มือถือบางรุ่นเริ่มนำ MicroLED มาใช้ เช่น
-
Xiaomi Mix Fold 4 Pro จอด้านนอกเป็น MicroLED ที่ให้ความสว่างสูงสุดถึง 2500 nits และประหยัดพลังงานได้ดี
-
Samsung Galaxy Z Ultra Fold Concept เป็นรุ่นต้นแบบที่โชว์เทคโนโลยี MicroLED เต็มจอโดยไม่มี notch หรือรู
รีเฟรชเรตสูงทะลุ 144Hz สำหรับมือถือเกมมิ่ง
มือถือหลายรุ่นในปีนี้โดยเฉพาะสายเกมมิ่ง มาพร้อมกับหน้าจอที่มี รีเฟรชเรตสูงถึง 165Hz หรือแม้กระทั่ง 180Hz เพื่อให้การตอบสนองของภาพเร็วและลื่นไหลมากที่สุด โดยเฉพาะเกมที่ต้องการความแม่นยำ เช่น FPS หรือ MOBA เช่น
- ASUS ROG Phone 9 ใช้หน้าจอ AMOLED 6.78 นิ้ว รีเฟรชเรต 165Hz รองรับ HDR10+
- RedMagic 10 Pro จอ AMOLED 6.8 นิ้ว 180Hz พิเศษสำหรับเกม e-sports
- Lenovo Legion Phone X3 อัปเกรดหน้าจอให้เร็วเป็นพิเศษ พร้อมทัชเรสพอนส์ระดับ 960Hz
หน้าจอพับได้พัฒนาไปอีกขั้น
มือถือจอพับได้ในปี 2025 ไม่ใช่เพียงเทคโนโลยีโชว์ของอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ด้วยความสามารถในการพับโดยไม่มีรอยพับชัดเจน อายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และน้ำหนักที่เบากว่าเดิม ผู้ผลิตอย่าง Samsung, Honor, และ Xiaomi ต่างเปิดตัวรุ่นจอพับแบบแนวตั้งและแนวนอนที่มีความบางเฉียบ รองรับทั้งปากกาและมัลติทาสก์เต็มรูปแบบ เช่น
- Samsung Galaxy Z Fold 6 / Flip 6 ใช้หน้าจอ AMOLED พับได้ที่บางกว่าเดิม และรอยพับแทบมองไม่เห็น
- Honor Magic V3 Pro พับได้แนวนอน น้ำหนักเบา พร้อมจอ LTPO OLED 120Hz ทั้งด้านในและนอก
- OPPO Find N5 หน้าจอพับแนวตั้งที่พัฒนาให้ทนทานขึ้น และให้ความรู้สึกเหมือนหน้าจอธรรมดาเมื่อกางเต็ม
ความละเอียดและความสว่างสูงขึ้นอีกระดับ
ในขณะที่มือถือระดับเริ่มต้นอาจใช้จอ FHD+ แต่รุ่นเรือธงในปี 2025 มักมาพร้อมจอ QHD+ หรือแม้กระทั่ง 4K โดยเฉพาะรุ่นที่เน้นด้านการถ่ายภาพและการดูคอนเทนต์ระดับมืออาชีพ นอกจากนี้ความสว่างของหน้าจอสูงสุด (peak brightness) บางรุ่นทะลุ 3000 nits เพื่อรองรับการดู HDR ในที่สว่างจ้าได้สบาย
- Sony Xperia 1 VII ใช้จอ 4K OLED 120Hz สำหรับการดูหนังระดับโปร
- Vivo X200 Ultra ความละเอียด QHD+ พร้อม peak brightness ที่ 3200 nits สำหรับการใช้งานกลางแจ้ง
- Google Pixel 9 Pro มาพร้อมจอ LTPO OLED QHD+ ที่รองรับ HDR10+ และ Dolby Vision
แนวโน้มในอนาคต จอโปร่งใสและซ่อนกล้องใต้จอ
แม้ยังไม่ใช่เทคโนโลยีหลักในปีนี้ แต่เรากำลังเห็นแนวโน้มของหน้าจอแบบโปร่งใส (Transparent Display) และการพัฒนากล้องหน้าแบบซ่อนใต้จอที่ให้ภาพคมชัดขึ้นกว่าเดิม ซึ่งอาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ขนาดหน้าจอที่เหมาะสมในแต่ละการใช้งาน ควรเลือกอะไรยังไงบ้าง
-
หน้าจอขนาดเล็ก 5.8 6.1 นิ้ว พกง่าย ใช้งานมือเดียวสบาย
-
หน้าจอกลาง 6.4 6.7 นิ้ว สมดุลใช้งานได้รอบด้านทั้งการดูสื่อ เล่นเกมและท่องเว็บต่างๆ
-
หน้าจอขนาดใหญ่ 6.8 นิ้วขึ้นไป เต็มตาสำหรับความบันเทิงและเกมที่เน้นมากขึ้นเป็นพิเศษ
-
หน้าจอพับได้ (Foldable) ยืดหยุ่นหลายรูปแบบในเครื่องเดียว จอภายใน 7.6 นิ้ว เมื่อกางออก ใช้งานแท็บเล็ตได้เต็มรูปแบบ
หน้าจอแบบไหน ถนอมสายตาได้ดีบ้าง ?
หน้าจอมือถือที่ถนอมสายตาได้ดี คือหน้าจอที่ถูกออกแบบและพัฒนาให้ลดผลกระทบต่อดวงตาจากการใช้งานเป็นเวลานาน ด้วยเทคโนโลยีและฟีเจอร์เฉพาะที่ช่วยปกป้องและเพิ่มความสบายให้กับผู้ใช้ โดยคุณสมบัติหลักของหน้าจอมือถือถนอมสายตาที่ควรมองหามีดังนี้
เทคโนโลยีลดแสงสีฟ้า (Low Blue Light)
- หน้าจอที่มีฟีเจอร์กรองหรือลดแสงสีฟ้า จะช่วยลดโอกาสเกิดอาการตาล้าและป้องกันการรบกวนวงจรการนอนหลับของร่างกาย
- เทคโนโลยีลดการกระพริบ (Flicker-Free หรือ PWM Dimming ความถี่สูง) หน้าจอมือถือสมัยใหม่ เช่น HONOR 200 Series หรือ HONOR 90 Series ใช้เทคโนโลยี PWM Dimming ที่ความถี่สูงถึง 3840Hz ซึ่งช่วยลดหรือขจัดอาการหน้าจอกระพริบที่ตาเปล่ามองไม่เห็น แต่ส่งผลต่อความเมื่อยล้าของดวงตาเมื่อใช้งานนานๆ
- ฟีเจอร์ปรับอุณหภูมิสีและความสว่างอัตโนมัติ (Nature Tone, AI Circadian Night Display)
หน้าจอที่สามารถปรับอุณหภูมิสีและความสว่างให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและช่วงเวลาของวัน เช่น เทคโนโลยี Nature Tone 2.0 จะช่วยให้การมองหน้าจอรู้สึกเป็นธรรมชาติ ลดความเครียดของดวงตา และช่วยให้สายตาปรับตัวได้ดีขึ้น - โหมดกลางคืนและโหมดถนอมสายตา
มือถือหลายรุ่นมีโหมดกลางคืนหรือโหมดถนอมสายตา ที่จะปรับโทนสีหน้าจอให้อุ่นขึ้นในช่วงค่ำ ช่วยลดผลกระทบต่อการผลิตเมลาโทนินและคุณภาพการนอนหลับ1
เซ็นเซอร์ปรับความสว่างอัตโนมัติแบบคู่ - หน้าจอที่มีเซ็นเซอร์คู่สำหรับวัดแสงและอุณหภูมิสีรอบข้าง จะช่วยให้การปรับแสงหน้าจอเหมาะสมกับทุกสภาพแวดล้อม ลดความเมื่อยล้าของดวงตา
ตัวอย่างสมาร์ตโฟนที่เน้นเทคโนโลยีถนอมสายตา เช่น HONOR 200 Series, HONOR 90 Series ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Flicker Free และ Full Care Display จาก TÜV Rheinland